อาหารไทย คือที่สุด ต่างชาติพูดเอง มาแล้วต้องลอง หลังจากหายหน้าหายตากันไปหลายวัน วันนี้เราก็จะพาไปดูกันว่า ชาวต่างชาติที่เขามาเที่ยวในไทย แล้วได้มาลองทานอาหาร Street Food ในไทยแล้วเนี่ย มีเมนูไหนบ้างที่ทำให้พวกเขารู้สึกติดใจ และถูกใจจนต้องบอกต่อ ซึ่งข้อมูลนี้เรานำมาจากคลิปของคุณมิคกี้ นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ซึ่งเขาก็ได้มีการทำคลิป 10 เมนูอาหารที่ต้องลอง เมื่อมาไทย เอาไว้ค่ะ สำหรับใครที่อยากจะเข้าไปชมคลิปต้นฉบับ สามารถไปติดตามได้ที่ช่องของคุณมิคกี้ได้เลยค่ะ ชื่อ่ว่าช่อง Mickey Stotch มิคกี้ สตัด ค่ะ ซี่งคุรมิกกี้เขาก็จะมีการใช้ภาษาไทยในการสื่อสารด้วยค่ะ ทำให้ง่ายต่อการรับชมมากๆค่ะ ในคลิปนะคะ ตลาดที่คุณมิคกี้ไปคือ สายใต้ เซ็นเตอร์ อยุ่ที่ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ของเรานั่นเองค่ะ ที่นี่ก็เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีของกินหลากหลายให้เลือกซื้อ เปิดให่บริการในช่วงเย็น เวลา 16:00 น. เป็นต้นไป คลิปนี้คุณมิกกี้จะไปกับเพื่อนของเขานะคะ ก็คือคุณแคท และคุณแม็ก ค่ะ ซึ่งคุณมิกกี้ให้เหตุผลที่เลือกมาทำคลิปที่ตลาดนี้ เพราะเห็นว่าที่นี่มีอาหารไทยมากมายที่มีรสชาติอร่อย และราคาไม่แพงให้เลือกซื้อ แต่ว่ายังไ...
เรื่องผี เล่า "คืนผีหลอกโรงเรียนร้าง" [เล่าเรื่องผี] |Story Time EP1|
คลิกลิงค์ด่านล่างเพื่อดูคลิป
https://www.youtube.com/watch?v=iNvKZJxaCdk <--คลิกลิงค์เพื่อดู
ลุงจูแกเล่าว่า สมัยที่ลุงจูยังหนุ่มๆแกเป็นคนหน้าตาดี อาจกล่าวได้ว่าความหล่อของแกไม่เป็นสองรองใครในอำเภอ อีกทั้งแกยังมีงานประจำให้ทำ ลุงจูทำงานเป็นลูกจ้างของกรมทางหลวง รับผิดชอบหน้าที่ขับรถแทรกเตอร์ให้กับแขวงกรมทางหลวงในจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน ลุงจูบอกว่า สมัยนั้นแกไปทำถนนหนทางที่ใดในเขตภาคอีสาน ก็มักจะมีสาวๆอยากเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม อีกทั้งสาวแก่แม่หม้าย ต่างก็ให้ความสนใจ ซึ่งนอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว ลุงจูเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบสังสรรค์เฮฮา โดยเฉพาะเวลาหลังเลิกงาน แกชอบตั้งวงกินดื่มกับเพื่อนที่ร้านค้าประจำหมู่บ้านที่ลุงจูทำถนนตัดผ่าน วันหนึ่งลุงจูได้มีโอกาสไปทำถนนในเขตอำเภอคำชะโนดจังหวัดอุดรธานี ซึ่งถ้าพูดถึงอำเภอคำชะโนดจังหวัดอุดรธานีแล้ว เราก็มักจะนึกถึงเรื่องราวของผีจ้างหนัง ที่เป็นข่าวโด่งดังข้ามกาลเวลามาเนิ่นนาน ตัวผมเอง ได้ยินเรื่องราวนี้ทีไร ชวนให้ขนหัวลุกทุกทีเลยนะครับ และในสมัยนั้นลุงจูแกบอกว่าตัวแกเอง ก็ได้ยินเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่แกบอกว่าแกเป็นคนไม่กลัวผี และถึงตอนนี้ ลุงจูพูดไปพร้อมกับหัวเราะไปนะครับ ลุงจูเล่าต่อไปว่า ที่อำเภอคำชะโนดสมัยนั้น ยังเป็นพื้นป่าเขาปกคลุมซะเป็นส่วนใหญ่ครับ ความเจริญถนนหนทางยังเข้าไม่ค่อยถึงเหมือนตอนนี้ การติดต่อสื่อสารก็ยังใช้วิธีการเขียนจดหมายหากันอยู่นะครับ ลุงจูจำได้ว่าวันนั้นหลังเลิกงานประมาณห้าโมงเย็น ช่วงหน้าหนาวรู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะมีความมืดเข้าปกคลุมเร็วกว่าปกติ ลุงจูกลับมาที่พักในแคมป์คนงาน อาบน้ำอาบท่าเสร็จ แกก็มานั่งเขียนจดหมายบนเตียงนอนสนามในเต็นท์ที่พักของแกครับ ลักษณะเต็นท์ที่พักของแกจะเป็นเต็นท์ผ้าใบ ข้างหน้าไม่ได้มีซิปรูดปิดประตูทางเข้า เป็นเพียงผ้าใบกั้นเป็นฉากเพื่อไม่ให้เห็นคนข้างนอกเท่านั้นนะครับ เนื้อหาเรื่องราวในจดหมายที่ลุงจูแกเขียน จะเป็นการบรรยายลักษณะการใช้ชีวิตประจำวันของตัวลงจู และบริบทแวดล้อมต่างๆในพื้นที่ทำงาน เพื่อส่งไปให้แม่ที่บ้านเกิดต่างจังหวัดได้รับรู้ข่าวสารของลูกชาย ให้คลายความเป็นห่วงเป็นใย และพอเขียนจดหมายเสร็จ ลุงจูแกกะว่าจะเข้าไปที่ร้านค้าประจำในตัวอำเภอ เพื่อฝากเจ๊แดงเจ้าของร้านส่งจดหมายให้ในวันรุ่งขึ้น ลุงจูแกเขียนจดหมายยังไม่ทันจบดีนะครับ ทันใดนั้นแกก็ได้กลิ่นแป้ง กลิ่นน้ำหอมที่ลอยผ่านอากาศมาเตะที่จมูก และในใจแกก็นึกถึงคนคนนึงขึ้นมา แต่ความคิดนั้นยังไม่ทันได้เลือนหาย ก็มีเสียงตะโกนเรียกดังก้องผ่านฉากผ้าใบที่กั้นเป็นประตูเข้ามา "จู จู จูเพื่อนรัก วันนี้เราไปกินเหล้าที่ร้านค้าในหมู่บ้านกันไหมเพื่อน" เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยนี้ไม่ใช่ใครอื่น มันเป็นเสียงเรียกของลุงหมายคนที่เป็นเพื่อนรักของลุงจูนั่นเองครับ ที่บอกว่าเป็นเพื่อนรักของลุงจูก็เพราะว่า ทั้งสองยืนหนึ่งในเรื่องของการดื่ม จนคนงานในแคมป์เขาให้ฉายาทั้งคู่ว่า "ปีศาจสุรา" ฉายานี้ลุงจูแกบอกว่า แกไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วยนะครับ เพียงแต่เป็นการสร้างวีรกรรมร่วมกันกับลุงหมายมาหลายรอบจนนับครั้งไม่ถ้วน ผ่าดงตรีนวัยรุ่นประจำหมู่บ้านมาหลากหลายชุมชน เพราะความมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม และนิสัยรักการดื่ม ชอบสนุกสนานเฮฮาของทั้งสอง ทำให้ชายฉกรรจ์เจ้าถิ่นเขม่นอยู่เรื่อย มีเรื่องชกต่อยอยู่เป็นประจำนะครับ ถึงกระนั้นสองเกอ ลุงจูและลุงหมายก็เอาตัวรอดได้ตลอดครับ "ไอ้หมายเองเข้ามาข้างในก่อนยืนตะโกนอยู่ตรงนั้น เกรงใจเต็นท์อื่นเขา" ลุงจู พูดตอบโต้ลุงหมาย เรียกให้เข้ามาคุยกันข้างในเต็นท์ ลุงหมายได้ยินเสียงโต้ตอบ ใช้มือซ้ายเปิดผ้าใบฉากกั้นเดินเข้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ข้าได้ยินจากไอ้สมมันบอกว่า เมื่อตอนกลางวันมันไปชื้อยาเส้นที่ร้านค้าหน้าหมู่บ้าน ลูกสาวร้านค้าน่าตาดีใช้ได้ ข้าเลยว่าจะชวนเองไปกินเหล้าที่ร้านนั้นซะหน่อย" ลุงจูได้ยินก็คิดในใจแล้วว่า หมายเพื่อนรักข้าเคยปฏิเสธเองด้วยหรือ "ไปสิขอข้าเเต่งตัว ก่อนเองรอแปบนึง" ลุงจูตอบ ผ่านไปสิบกว่านาที ลุงจูเเต่งตัวเสร็จ ทั้งสอนได้ซ้อนมอเตอร์ไซต์คู่กายของลุงจู แล่นไปทางหมู่บ้าน ซึ่งหากจากแคมป์คนงานประมาณ 3 กิโลเมตร มอเตอร์ไซต์ยี่ฮ่อคาวาซากิ ส่วนรุ่นอะไรนั้นลุงจูแกบอกแก่จำไม่ได้แล้วนะครับ แต่แกจำได้ขึ้นใจว่ามอเตอร์ไซต์คันนี้สีเขียว ลุงจูเก็บเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานมาซื้อ ถือได้ว่าเป็นมอเตอร์ไซต์คันแรกที่มีในหมู่บ้านเลยที่เดียวครับ ตอนนั้นเวลาประมาณหกโมงเย็นปลายๆเกือนจะทุม ทั้งสองขี่มอเตอร์ไซต์ผ่านหน้าวัดก่อนทางเข้าหมู่บ้าน ลุงจูเป็นคนขับลุงหมายเป็นคนซ้อน ลุงจูบอกว่า แกได้ยินเหมือนเสียงคนควบม้าวิ่งตามมาด้านหลัง ซึ่งเสียงฝีเท้าของม้าดังชัดเจนมาก จนทำให้ลุงจูคิดว่าอยู่ห่างจากท้ายมอเตอร์ไซต์ประมาณ 3-4 เมตรครับ ลุงจูจึงตัดสินใจหันหน้ากลับไปมองข้างหลัง เพราะกลัวว่าม้าจะวิ่งเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซต์ จนทำให้แก่ล้มได้รับบาดเจ็บอดเที่ยวสนุกกับเพื่อน เมื่อลุงจูหันหน้ากลับไปมองข้างหลัง ปรากฎว่า พบแต่ความว่างเปล่า! เสียงที่ดังจากฝีเท้าของม้าก็หายไป ได้ยินแต่เสียงท่อรถเมอเตอร์ไซต์ ในตอนนั้นลุงจูแปลกใจมากครับว่าทำไมถึงไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่เสียงมันดังอยู่แค่นี้เอง จากนั้นลุงจูครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักคู่อยู่พักนึง ก็ได้คำตอบเพื่อให้ตัวเองสบายใจ นั้นก็คือแกคงหูเเว่าไปเอง และลุงจูกะว่าจะถามลุงหมายนะครับ ว่าเมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหม เพราะตอนที่ลุงจูหันหน้ากลับไปมองข้างหลัง แก่เห็นว่าลุงหมายนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันไดนั้น ลุงหมายก็พูดขึ้นว่า "จอด จอด จอด ร้านข้างหน้านี่แหละที่ไอ้สมมันพูดถึง" จากนั้นลุงจูก็จอดมอเตอร์ไซต์ที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งลักษณะร้านจะเป็นเพิงสังกะสี อยู่ติดกับถนนลูกรัง ข้างร้านจะมีแคร่ไม้ไผ่อยู่ฝั่งซ้าย ส่วนฝั่งขวาจะเป็นต้นมะขามนะครับ ลุงจูลงจากรถได้ก็ไม่รอช้าที่จะยิงคำถามกับลุงหมายว่า "ไอ้หมายตอนที่เราขี่รถมอเตอร์ไซต์ผ่านหน้าวัดเองได้ยินเสียงอะไรไหมว่ะ " ลุงหมายส่ายหัวพร้อมทำหน้าตาขี้สงสัยแล้วพูดว่า "แก่ได้ยินเสียงอะไรหรือ" "เปล่าไม่มีเสียงอะไรหลอก สงสัยข้าจะหูเเว่วไปเองจริงๆ" ลุงจูตอบ จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่ในร้านค้า โดยลุงจูนั่งรอที่แคร่ไม้ไผ่ ส่วนลุงหมายเดินไปสั่งเครื่องดื่มแล้วก็เดินมานั่งที่แคร่ไม้ไผ่กับลุงจู ผ่านไปสักพักไม่ถึง 5 นาทีครับ มีหญิงสาวชาวบ้านหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวพรรณผุดผ่องขาวเนียน ผมยาวสีดำประบ่า ริมฝีปากบางสีแดง นุ่งผ้าถุงยาวถึงน่อง สวมเสื้อยืดสีขาว ความสูงได้สัดส่วน อายุน่าจะราวๆ 18 ,19 ปี หญิงสาวเธอเดินถือเครื่องดื่มพร้อมกับจานถั่วลิสงมาวางบนแคร่พร้อมกับพูดว่า "ได้แล้วค่ะพี่" ลุงหมายไม่รอช้าทำเนียนสอบถามเส้นทางพร้อมแนะนำตัว หญิงสาวเธอก็แนะนำตัวเองเช่นกัน เธอบอกเธอชื่อเติม เติมเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่แปลกเลยที่พวกลุงจูนั่งอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็มีลูกค้าเข้ามาสั่งเครื่องดื่มห้าถึงคน เติมบอกกับพวกลุงจูว่า "เติมดีใจมาก ที่พวกลุงจูได้เข้ามาทำถนนตัดผ่านหมู่บ้านสักที เพราะก่อนหน้านี้การเดินทางจากหมู่บ้านไปที่ตัวอำเภอช่วงหน้าฝน ช่างเป็นสิ่งที่ลำบาก ถนนหนทางไม่ดี มีทั้งโคลนทั้งน้ำขัง กว่าจะเดินฝ่าไปถึงตัวอำเภอใช้เวลาเป็นชั่วโมงอีกทั้งเนื้อตัวก็มอมแมม" ทั้งสามก็ได้พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยตามประสาหนุ่มสาว แต่เติมดูเหมือนจะให้ความสนิทสนมกับตัวลุงจูมาก ความรู้สึกตอนนั้นลุงจูบอกว่า เหมือนเวลามันเดินเร็วเหลือเกิน ผ่านไปแค่เเป๊บเดียว แกหันไปมองนาฬิกาในร้านค้า เวลาก็ร่วงเข้าถึง สี่ทุ่มครึ่งแล้ว พรุ่งนี้เช้าชายหนุ่มทั้งสองก็ยังมีงานที่รออยู่ ลุงจูเลยสะกิดลุงหมายพร้อมกับพูดว่า "หมายวันนี้ข้าว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีไหมพรุ่งเรามีงานเช้า ส่วนเครื่องดื่มที่เหลือครึ่งขวด เราฝากน้องเติมไว้ก่อนพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่" ลุงหมายพยักหน้าแล้วใช้มือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อ จากนั้นใช้ทั้งสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ลุงจูเห็นท่าทางลุงหมายลุกลี้ลุกลนเลยถามขึ้นว่า "เอ็งอย่าบอกนะว่า ลืมเอากระเป๋าตังค์มา ข้าเองก็ไม่มีเงินติดตัวมาเหมือนกันเว้ยเพื่อน" ลุงหมายยิ้มแหยงๆแล้วบอกว่า "จูเอ็งรอแป๊บเดียว เดี๋ยวข้าขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปเอาเงินที่แคมป์มาจ่ายค่าเครื่องดื่ม" ลุงจูได้ยินก็นึกในใจว่า "เราจะสร้างความประทับใจกับน้องเติมครั้งแรกที่ได้พบกัน ด้วยการเซ็นเครื่องดื่มนั้นเหรอ คงต้องยอมให้ไอ้หมายมันขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปเอาเงินมาจ่ายแล้วล่ะ และดูจากอาการไอ้หมายแล้วมันก็ไม่ได้เมา" "นี่กุญแจรถ รีบไปรีบมานะยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็น เสื้อกันหนาวข้ายิ่งบางๆอยู่ด้วย" ลุงจูพูด ลุงหมายรับกุญแจพร้อมพยักหน้าแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปทันที ส่วนเติมเมื่อเธอเห็นลุงจูนั่งอยู่คนเดียว ซึ่งตอนนั้นลูกค้าที่ร้านก็ไม่มีแล้วนอกจากลุงจู เธอเลยเดินมานั่งคุยเป็นเพื่อน เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงเห็นจะได้ลุงจูไม่เห็นลุงหมายกลับมาสักที ทั้งๆที่ระยะทางก็แค่ 3 กิโลเมตรเอง แกเลยตัดสินใจบอกกับเติมว่า แกเป็นห่วงลุงหมายจะขอติดค่าเหล้าไว้ก่อน พรุ่งนี้แกจะกลับมาจ่ายแต่เช้า ตอนนี้แกต้องรีบเดินกลับไปดูลุงหมาย คิดว่าต้องเกิดเรื่องกับลุงหมายระหว่างทางกับแคมป์เป็นแน่ เติมได้ยินแบบนั้นเธอก็พูดขึ้นว่า "ไปเลยพี่ พรุ่งนี้ตอนเย็นๆค่อยมาจ่ายก็ได้เหล้าก็เหลืออีกตั้งครึ่งขวด" จากนั้นลุงจู่ก็ลาน้องเติมเดินกลับไปที่แคมป์ ระหว่างเดินเท้ากลับแคมป์คนงาน จิตใจลุงจูก็คิดถึงแต่เรื่องลุงหมาย สิ่งที่กลัวที่สุดในตอนนั้นลุงจูบอกว่า กลัวลุงหมายถูกดักทำร้ายร่างกายจากวัยรุ่นในพื้นที่ เพราะทั้งสองเป็นคนต่างถิ่น เมื่อลุงหมายเดินผ่านหน้าวัดไปสักระยะนึง แกก็จำได้ว่าแกน่าจะเดินเลยครึ่งทางมาแล้ว ก็ยังไม่เห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ลุงหมายขี่กลับมารับ แต่แกกลับเห็นแสงไฟทางฝั่งซ้ายมือประมาณ 500 เมตร ซึ่งดูเหมือนตรงนั้นจะมีการจัดงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง มีการร้องรำทำเพลงบนเวที และพอยิ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็เห็นกลุ่มคนเยอะแยะนั่งรับประทานอาหารชมการแสดงบนเวที ลักษณะเหมือนจะเป็นโต๊ะจีน บางคนก็ลุกขึ้นเต้นเต้นร้องรำไปตามการแสดงบนเวที บางกลุ่มก็นั่งดื่มพูดคุยดูมีความสุข ตอนนั้นลุงจูคิดว่าลุงหมายน่าจะอยู่ในงานแน่ๆ แกเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในงานพร้อมกับมองหารถมอเตอร์ไซค์ของลุงจูที่ลานจอดรถ แต่แกก็ไม่เห็นมอเตอร์ไซค์ของแกเลย แกเลยเดินเข้าไปหน้างานเลี้ยงแล้วกวาดสายตามองหาลุงหมาย ขณะที่ลุงจูกวาดสายตามองหาลุงหมายอยู่นั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณกลางคน ผมหยิกหยักศก ผิวสีแทน สวมชุดราตรีสีแดงหน้าตาคล้ายฝรั่ง เดินเข้ามาหาลุงจูแล้วพูดกับลุงจูว่า " เชิญนั่งก่อนคะพี่เดินทางมาเหนื่อยๆ จิบเครื่องดื่มเย็นๆให้ชื่นใจก่อนค่ะ" จากนั้น ผู้หญิงคนที่ว่าก็ดึงแขนลุงจูไปนั่งร่วมโต๊ะกับชาวบ้านประมาณ 3-4 คน เป็นผู้หญิงสามคนและผู้ชายอีกหนึ่งคน ผู้หญิงอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปี ส่วนผู้ชายอายุน่าจะประมาณห้าสิบกว่าๆ ลุงหมายยอมรับนะครับว่า ตอนนั้นแกไม่ได้ถามผู้หญิงชุดแดงเลยนะครับว่า งานเลี้ยงนี้คืองานอะไร หลังจากที่แกนั่งลงแกถามผู้หญิงชุดแดงว่า เห็นเพื่อนของแกเข้ามาในงานนี้บ้างหรือเปล่า เป็นผู้ชายอายุประมาณ 27,28 ลักษณะแบบนี้ แบบนั้น แกก็บอกผู้หญิงชุดแดงไปนะครับ ผู้หญิงชุดแดงตอบกลับลงหมายมาว่า "อ๋อเห็นค่ะเขาอยู่ในงานนี้แหละ เข้ามาในงานประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนหน้าเห็นจะได้ เขาดื่มจนเมาทางเราเห็นว่าอาการเขาไม่ค่อยดี เลยพาเข้าไปพักที่ห้องรับรอง " จากนั้นเธอยกแก้วเหล้าให้ลุงจูแล้วพูดต่ออีกว่า "พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะเขาสบายดี เชิญพี่กินดื่มกับน้องๆให้สบายใจ" ลุงจูแกก็นึกในใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่น่าจะโกหก เพราะเธอบอกเวลาได้ตรงกับเวลาที่ลุงหมายขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากร้านค้า หลังจากที่ลุงจูครุ่นคิดเสร็จ ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ลุงจูแกบอกครับว่า เหล้าที่ผู้หญิงชุดแดงเอาให้แกดื่มนั้น มันช่างเป็นเหล้าที่มีรสชาติหวานกลิ่นหอมละมุน และแกไม่เคยดื่มที่ไหนมาก่อนเลย พอยกแก้วที่หนึ่งเสร็จ ลุงจูก็พูดคุยทักทายชาวบ้านที่นั่งร่วมโต๊ะ ลุงจูรู้สึกว่าผู้คนมีอัธยาศัยดีเลยยกแก้วที่สอง แก้วที่สามที่สี่ และเเก้วที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก แกก็รู้สึกมึนหัวและอยากเข้าห้องน้ำ ลุงจูเลยบอกผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะไปว่า แกขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนเดี๋ยวจะกลับมาใหม่ พอพูดจบลุงจูลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปห้องน้ำ แกรู้สึกว่าแกเดินหน้าไปหนึ่งก้าวแล้วเซถอยหลังอีกสามก้าว ขณะที่ลุงจูเซถอยหลังก็มีผู้ชายคนนึง แกบอกแกเห็นหน้าไม่ชัด อายุประมาณกลางคน มาพยุงที่แขนซ้ายแล้วพูดกับลุงจูว่า "ท่านครับ ท่านเมามากแล้วเดี๋ยวผมจะพาท่านไปนอนพักที่ห้องรับรองให้สร่างเมาก่อนค่อยกลับบ้าน" พอผู้ชายคนนั้นพูดเสร็จ เขาก็เดินพยุงลุงจูไปที่ห้องรับรอง และเมื่อถึงห้องรับรองแล้วเปิดประตูเข้าไป ลุงจูแกบอกนะครับว่า แกเคยนอนโรงแรมมาก็หลายครั้ง แต่ห้องรับรองนี้ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมห้าดาวเลย มีตู้ มีเตียง และที่นอนนิ่มๆ อุปกรณ์ของใช้ครบครัน ผู้ชายคนนั้นพยุงลุงจูนอนลงบนเตียง และก่อนออกจากห้องเขาหันกลับมาบอกกับลุงจูว่า "เชิญท่านนอนพักผ่อนให้สบายนะครับ" แล้วก็ปิดประตูเสียงดังแกร๊ก และนั่นก็คือเสียงสุดท้ายที่ลุงจูได้ยินก่อนที่ภาพจะตัด ลุงจูแกนอนหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แกบอกว่าแกรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีอาการเจ็บที่ต้นคออย่างแรง และหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงไก่ขัน เสียงนกที่ออกหากินตอนเช้าดังเจื้อยแจ้ว ลมเย็นหน้าหนาวพัดพากระทบผิวกาย ทำให้ตัวสั่นรู้สึกเย็นไปถึงไขกระดูก แกเอามือขวาไปจับตรงหมอนที่แกหนุนนอนมาทั้งคืน รู้สึกเหมือนจะว่าเป็นท่อนไม้แข็งๆ ลุงจูลืมตาแล้วลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก้มหน้าลงมามองดู เชื่อไหมคครับท่านผู้ฟัง สิ่งที่ลุงจูแกเห็นในตอนนั้น เป็นเพียงระเบียงไม้บนอาคารเก่าๆ พอมองไปรอบๆก็เห็นเป็นพื้นระเบียงไม้ที่ผุพัง ไม่ได้มีที่นอนนิ่มๆและห้องที่สะอาดสะอ้าน เหมือนที่ลุงจูเห็นตอนกลางคืน ซึ่งในตอนนั้นท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ลุงจูเห็นอย่างนั้น ก็ตั้งสติ แล้วรีบลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้นทันที ขณะที่กำลังเดินตามระเบียงชั้นสองของอาคารไม้ที่ผุพังอยู่นั้น ลุงจูได้หันหน้าไปมองตามห้องที่แกเดินผ่าน ซึ่งแต่ละห้องที่แกเห็น บ้างก็ไม่มีบานประตูปิด บ้างก็ผุพัง ทั้งหักทั้งแตก เมื่อมองเข้าไปในห้องแต่ละห้องก็เห็นโต๊ะเก้าอี้ของนักเรียนเก่าๆ วางอิแหละเขะขะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย บางห้องมีแต่เก้าอี้ไม้หักๆวางอยู่สอง สามตัวสภาพห้องทรุดโทรมฝุ่นเคาะเต็มไปหมด เหมือนไม่เคยมีคนเข้ามาใช้งานเป็นปีๆ สิ่งที่น่าตกใจไปยิ่งกว่านั้น ลุงจูบอกว่าเมื่อเดินลงมาจากบันไดแล้ว สิ่งที่แกเห็นคือต้นหญ้าขึ้นรกปกคลุมพื้นที่ ทั้งเสาไม้เก่าๆ และระเบียงอาคารชั้นหนึ่ง แทบจะไม่มีที่จะเดิน ลานกว้างที่ใช้จัดงานเมื่อคืนก็ไม่มี เห็นเพียงแต่ต้นหญ้าสูงถึงเข่าสลับกับต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นแซมกันทั่วไปเท่านั้นเองนะครับ กระนั้นลุงจูแกก็ไม่ได้วิ่งนะครับคุณผู้ฟัง ลุงจูคุมสติของแกอยู่ตลอดเวลา แล้วค่อยเดินช้าๆ ไปยังถนนใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า เพื่อกลับไปที่แคมป์คนงาน พอลุงจูเดินไปถึงแคมป์คนงาน สิ่งแรกที่ลุงจูต้องทำคือ ไปดูลุงหมายต็นท์ พอลุงจูเดินไปถึงเต็นท์ของลุงหมายแก่ก็เห็น มอเตอร์ไซต์ของเเก่จอดอยู่ข้างๆ กระจกหน้าข้างซ้ายหักและแตกรอยขีดข่วนสีถลอกรอบตัวรถ ลุงจูตะโกนเรียกลุงหมายอยู่หน้าเต็นท์หลายรอบ แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ แกเลยตัดสินใจใช้มือเปิดผ้าใบข้างเต็นท์เข้าไป สิ่งที่เห็น คือลุงหมายนอนตัวสั่นจับไข้ แก่เขย่าตัวลุงหมายพลางเรียกชื่อ "หมาย หมาย เอ็งเป็นอะไรไปว่าเพื่อน ลุงหมายได้สติแล้วลืมตาขึ้นเห็นลุงจู แล้วพูดขึ้นว่าเมื่อคืนตอนที่ข้าขี่มอเตอร์ไซต์กลับมาที่แคมป์ ประมาณครึ่งทางถนนและบริบทแวดล้อมเงียบสงัด จู่ๆก็มีหมาตัวใหญ่สีดำวิ่งข้ามถนนมาตัดที่หน้ารถ ข้าเลยหักหลบทำให้รถเสียหลักลงข้างทาง ส่วนหมาตัวนั้นมันวิ่งข้ามถนนแล้วหายไปในความมืดมิด ข้าจำได้ขึ้นใจมันเหมือนเป็นภาพติดตา หมาตัวนั้นตัวใหญ่เท่าม้า ดวงตามันเป็นสีแดงเลือดเมื่อโดนเเสงไฟจากหน้ารถ และดวงตามันไม่สะท้อนแสงไฟ หลังจากที่รถล้ม ข้ารีบพยุงรถขึ้นแล้วรีบขี่เข้ามาที่แคมป์ แล้วกะว่าตั้งสติแล้วกลับไปรับเอ็งแต่เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ลุงจูถามลุงหมายต่อไปครับว่า " แล้วตอนที่ขี่มอเตอร์ไซต์กลับมาเอ็งเห็นชาวบ้านจัดงานเลี้ยงไหม" ลุงหมายตอบ " งานเลี้ยงที่ไหน ข้าไม่เห็นเลย เเสงไฟตามข้างทางและบนถนนยังไม่มีซักดวง" ลุงจูแกก็นั่งคลุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวแกให้ลุงหมายฟังทั้งหมด ตั้งแต่แกเห็นแสงไฟงานเลี้ยง เดินเข้าไปในงาน ดื่มกินจนกระทั้งนอนตื่น ลุงหมายได้ฟังก็พูดขึ้นว่า "สงสัยเราสองคนจะโดนดีเข้าแล้ว" ในวันนั้นทั้งสองก็ลางานโดยบอกกับหัวหน้าว่าไม่สบาย พอตกตอนเย็น ทั้งสองก็กลับไปที่ร้าน ค้าตั้งใจจะไปถามเติมลูกสาวเจ้าของร้านที่เคยได้พูดคุยสนิทสนมเมื่อคืนนี้ เติมเล่าให้ลุงจูและลุงหมายฟังแบบนี้ครับท่านผู้ฟัง วันนี้เมื่อตอนกลางวันชาวบ้านเขาพาหมอธรรมมาทำพิธีขับไล่ปอบ โดยชาวบ้านเขาสงสัยกันว่า ยายจันทร์แกจะเป็นปอบ ยายจันทร์แกพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชนของแห่งนี้ยังไม่ถึงปี บ้านของยายจันทร์อยู่หน้าหมู่บ้านก่อนจะถึงวัด และก่อนหน้านี้ชาวบ้านเขาลือกันให้แซด เป็ดไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ตายยกเล่าไม่เว้นแต่ละวัน ชาวบ้านหลายคนเขาเคยเห็นหมาดำตัวใหญ่วิ่งข้ามถนนหายไปเข้าทางบ้านของยายจันทร์ ลุงจูแก่บอกเรื่องนี้แก่ได้คำตอบว่า หมาดำตัวใหญ่ที่ไอ้หมายมันเห็นก็คงจะเป็นตัวเดียวกันกับที่ชาวบ้านเขาเห็น หลังจากที่เติมเล่าเสร็จ ลุงจูเลยถามเติมต่อไปว่า "โรงเรียนที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเข้ามาหมู่บ้าน ดูเหมือนจะเป็นโรงเรียนร้างใช่ไหม" เติมตอบว่า "ใช่มันเป็นโรงเรียนร้าง ไม่มีนักเรียนมาสองปีแล้ว เพราะน้ำท่ามหน้าฝนเดินทางก็ลำบาก ผู้ใหญ่บ้านเลยให้ไปก่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่อยู่ข้างในวัดหน้าหมู่บ้านนี้เอง" ลุงจูแก่ก็ถามเติมต่ออีกว่า "แล้วเมื่อคืนมีใครจัดงานเลี้ยงในโรงเรียนแห่งนั้นไหม" เติมตอบว่า "ใครจะกล้าเข้าไปจัดงานเลี้ยงละพี่ เมื่อปีที่แล้วมีรถของบัสคณะผ้าป่าจากกรุงเทพพลิกคล่ำ คนเสียชีวิตเป็นสิบกว่าคนที่หน้าโรงเรียนนั้น ชาวบ้านเอาศพไปไปเก็บไว้อาคารเรียนเพื่อรอญาติมารับ เพราะตอนนั้นที่วัดมีงาน และพอจัดงานเสร็จชาวบ้านเขาก็มีมติ เอาศพไว้ที่โรงเรียนให้สัปเหร่อไปเฝ้า นานหลายอาทิตย์กว่าญาติจะมารับศพไปหมด แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่มีใครเคยเห็นอะไรแปลกๆเลยนะพี่" จากคำตอบของเติม ลุงหมายแก่บอกกับผมครับว่า เป็นไปได้ว่างานเลี้ยงในคืนนั้น แก่คงจะเดินหลงเข้าไปในอีกมิตินึงกับคณะผ้าป่าจากกรุงเทพเป็นแน่แท้ครับ เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับเรื่องนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า ตอนที่ลุงจูบอกน้องเติมว่าจะเดินกลับไปหาลุงหมาย เติมไม่เล่าเรื่องรถบัสของคณะผ้าป่าให้ลุงจูฟัง เพราะว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวบ้านคนไหนเคยเจอร่างวิญาณของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเลย และที่ลุงจูไปเจองานเลี้ยงในคืนนั้น ลุงจูแก่คงจะดวงตก และอยู่ถูกที่ถูกเวลานะครับ แล้วท่านผู้ฟังละครับมีความคิดเห็นอย่างไร ช่วยกันเม้นท์มาบอกพวกเราด้วยนะครับ ก่อนจากกันในวันนี้ฝากทุกท่านกดติดตาม กดไลน์ กดเเชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเราด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ Mystory time ขอลาไปก่อนพบกันใหม่คลิปหน้า คิดดี ทำดี สิ่งดีๆจงเข้ามาหาท่านผู้ฟังทุกท่านสวัสดีครับ
ฝากกดติดตามช่อง เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ
ตอบลบ